ตื่นเต้นมากครับการการเดินทางไปเที่ยวฮ่องกงครั้งแรกในชีวิต และที่สำคัญไปเองด้วย อย่างนี้เค้าเรียกว่า “เที่ยวไม่พึ่งทัวร์” โดยไปกับ แพ็กเก็จ ฮ่องกง จ่ายสบาย ๆ แต่ว่าเที่ยวคุ้ม ด้วยราคาเพียง 8,999.- ของสายการบินโอเรียนท์ไทย แอร์ไลน์ ในการไปเที่ยวครั้งนี้ผมได้ใช้ความรู้ที่มีเกี่ยวกับฮ่องกง บวกกับไปหาซื้อหนังสือมาอ่านเพิ่มเติม (ก็กลัวๆ อยู่เหมือนกันอ่ะ) เอาหล่ะมาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า "วันแรกของการเดินทาง" 12 มีนาคม 2552 เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็มาถึงที่สนามบินก่อนเวลาจะดีกว่าเลยมาถึงประมาณ บ่าย 3 น่าจะได้ โดยไปที่อาคารผู้โดยสารชั้น 4 และมาเข้าที่ประตูที่ 5 พอเค้ามาถึงก็ให้มาดูที่ป้ายครับ ว่าสายการบินโอเรียนท์ไทย แอร์ไลน์ (OX) เค้าเช๊คอินกันที่ไหน เมื่อเห็นแล้วก็ไปที่เคาน์เตอร์เลยครับ ซึ่งของ OX เค้าเช็คอินกันที่โลว์ K ครับ โดยใช้เคาน์เตอร์ที่ K1 – K6 ผมก็เลยเข้าไปต่อแถวเลยครับ และได้เจอกับพนักงานสาวสวยของ OX เลยได้ถ่ายรูปมาให้ดูครับ | ||
เมื่อเช็คอินเสร็จได้รับ Boarding Pass เป็นอันที่เรียบร้อยแล้ว ดูรายละเอียดก่อนครับว่าเราจะต้องไปขึ้นเครื่องที่ประตูไหน นั่งที่นั่งตรงไหน สำหรับเที่ยวบินวันนี้เราได้ประตู E2 ครับ เค้าให้เราไปถึงที่ประตูก่อนเครื่องออก 30 นาที ก็ประมาณ 16.40 น. อ่ะยังมีเวลาอีกตั้งครึ้งชั่วโมงทันน่า โอเค..จบข่าว เป็นอันรู้กัน จากนั้นก็ถึงเวลาที่จะเข้าไปช็อปปิ้งในดิวตี้ฟรีกันแล้วหล่ะครับ แต่ก่อนอื่นเราต้องผ่าน ตม. กันก่อนนะครับ สำหรับคนไทยให้เข้าคิวในช่องที่เค้าขึ้นป้ายสีเขียวๆครับ ว่า “Thai Passport” อย่าเข้าผิดช่องนะครับ ไม่งั้นเสียเวลาช๊อปปิ้งไม่รู้ด้วย เดี๋ยวหาว่าหล่อไม่เตือน หลังจากที่ผ่านจากจุดนี้ไปได้เราก็จะเข้าไปสู่ตัวอาคารของส่วนผู้โดยสารขาออกกันแล้วครับ พอเข้ามาปุ๊บ !! เราก็จะพบกับประติมากรรมที่มีชื่อว่า “พิธีกวนเกษียรสมุทร” ที่อยู่ด้านในอาคารตั้งเด่นตอนรับแขกบ้านแขกเมืองครับ ถัดไปหน่อย ถึงแล้วครับดินแดนแห่งนักช็อป สำหรับสินค้าปลอดภาษี “Duty Free” สำหรับที่นี่นักเดินทางทุกท่านสามารถซื้อสินค้าอันหลากหลายได้ตามใจชอบ และถามยังสามารถฝากของเอาไว้ได้ด้วย โดยเรามารับอีกครั้งหลังจากกลับมาถึงไทย ช๊อปกันเพลินครับ เอาโน่นเอานี่ อุ๋ย.. ดูเวลาดูอีกที อีก30 นาที 17.10 น. เวลาเครื่องออก โอ้ว...คุณพระก็ไม่ช่วย รีบกันเลยครับ แล้วก็ถึงเวลาใส่เกียร์สุนัขกันเลยครับพี่น้อง วิ่งไม่อายใคร วิ่งไม่คิดชีวิตแล้วครับ ขอตัววิ่งก่อน | ||
แพงเกินงบ เอานี่ดีกว่า..วุ่นวายมากครับเลยลืมรีบสุด ๆ จ่ายตังค์ฝากของกันได้เป็นที่เรียบร้อยนะครับพี่น้อง | ||
วิ่งหูตูบมาถึงจนได้ แต่เอ...ทำไมคนเยอะจัง สงสัยคงจะยังไม่ขึ้นเครื่องกัน ก็เลยเดินครับ ที่ตรงนี้ก็จะเป็นด่านสุดท้ายก่อนขึ้นเครื่องอ่ะครับ คือจะมีเครื่อง X-Ray โลหะและอาวุธอ่ะครับ สำหรับท่านสุภาพบุรุษครับ ที่นี่รบกวนท่านปลดเข็มขัดใส่ลงในตระกล้าด้วยนะครับ ถ้าไม่มีหวังไม่ได้ขึ้นเครื่องแน่ และสำหรับของเหลวทุกชนิด จะถูกกำจัดที่ด่านนี้ครับ เครื่องดืม , ขวดน้ำ , หรือสิ่งของที่อยู่ในกระเป๋าเรา เพราะว่าเราสามารถนำของเหลวขึ้นเครื่องได้เฉพาะขวดที่มีขนาดไม่เกิน 100 มิลลิลิตร และ ไม่เกิน 10 ขวดเท่านั้น ถ้าเกินมาจาก 100 มิลลิลิตร หรือเกิน 10 ขาด จะถูกเจ้าหน้าที่กำจัดทันที นอกจากนี้ยังมีประเภทของมีคมครับ ไม่ว่าจะเป็นกรรไกร , มีด , ที่ตะใบเล็บ ก็ห้ามนะครับ เอาหล่ะเมื่อผ่านมาได้แล้วก็ลงไปชั้นล่างนั่นไงเห็นเครื่องบินมาจอดรอเราอยู่นานแล้วครับ พอเห็นเครื่องก็รู้สึกดีครับ ลำใหญ่เพราะเป็น Boing 747 400 กว่าที่นั้งงั้นไม่ได้การหล่ะ ผมเลยรีบวิ่งไปที่ประตู E2 อย่างที่ไม่เคยวิ่งมาก่อนครับ พอลงไปถึงปาดเหงื่อออกแล้วก็มองดูคนบริเวณนั้น โอ้วพระเจ้าเหลือแค่ไม่กี่คน ก็ใช่ซิใครจะไปช้าเหมือนเรา เค้าก็ขึ้นเครื่องไปกันจนจะหมดแล้วเหลืออยู่ไม่กี่คน แต่ยังโชคดีครับที่ผมไม่ใช่คนสุดท้าย ยังมีอีกหลายคนที่สายกว่าผมอีก อิอิอิ ไม่งั้นนะ ตอนขึ้นเครื่องไปแล้วเป็นคนสุดท้าย ผมคงจะต้องตาย เพราะว่าถูกประณามด้วยสายตาของคนที่นั่งรออยู่นับร้อยแน่ ๆ เนื่องจากเที่ยวบินนี้ผู้โดยสารเต็มลำครับ พอขึ้นเครื่องแล้วก็มองหาที่นั่งเลยครับ เป็นเพราะว่าโชคช่วยหรือไม่ก็คงทำบุญมาดี ผมได้ที่นั่งติดกับประตูฉุกเฉิน เพราะว่าที่นั่งตรงนี้จะเป็นที่นั่งที่กว้างมากครับ เหียดขากันได้สุดกู่เลยทีเดียว และก็ไม่ติดกับห้องน้ำครับ เพราะอะไรเหรอ คุณรู้มั้ยครับ มันจะเป็นการทรมานอย่างมากครับถ้าเราได้นั่งข้างห้องน้ำ คือนอกจากกลิ่นที่มันจะโชยตามออกมาหลังจากที่แต่ละคนทำธุระแล้ว ยังหาความสงบสุขไม่ได้ตลอดการเดินทางเลยครับ เพราะว่าจะมีผู้โดยสารท่านอื่น ๆ มาเข้าห้องน้ำตลอดเวลาจนเครื่องจะลงนั่นแหละถึงจะหยุด (ขอบ่นหน่อย) |
เอาหล่ะครับเข้าเรื่องดีกว่าพอนั่งได้สักพัก ประตูเครื่องก็ปิดลง ไอ้เราก็รัดเข็มขัดเรียบร้อย สักพักก็มีลูกเรือออกมาสาธิตการใช้อุปกรณ์และเครื่องช่วยชีวิตยามเกิดเหตุไม่คาดฝันอ่ะครับ สิ้นสุดการสาธิต เครื่องก็ทำการเคลื่อนออกจากที่จอด แล้วก็วิ่ง TAXI ไปตามรันเวย์ให้เราได้เห็นอาคารต่าง ๆ ของสนามบิน พอได้ที่เครื่องตั้งลำได้แล้วก็ทำการทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า บินไปได้สักพักพอเครื่องไต่ระดับถึง 37,000 ฟุต จากน้ำทะเล บันดาลูกเรือก็ทำการเสริฟอาหารครับ เป็นอาหารกล่องจากโออิชิ น่ากินมาก มี 2 เมนูให้เลือกครับระหว่างข้าวหมูเกาหลี และข้าวไก่เทอริยากิ สำหรับผมเหรอ “น้องพลับขอ 2” ใครจะมองใครจะว่าก็ไม่สนครับของฟรีกินบนความสูงแบบนี้ เอาซะหน่อยครับ นอกจากนั้นก็ยังมีถั่วอบกรอบครับ อร่อยมาก ดูจากรูปก็รู้ว่าผมกินไปกี่ถุง อิอิอิ พออิ่มก็ตามประสาอ่ะครับนอนครับ ขอตัวนอนก่อนครับ หนังท้องตึงหนังตาหย่อน....มารู้สึกอีกทีก็ตอนล้อเครื่องบินแตะพื้นรันเวย์อ่ะครับ ขณะที่เครื่องกำลัง TAXI เข้าที่จอดนั้น ผมเลยถือโอกาสจัดแจงเตรียมความพร้อมก่อนลงจากเครื่อง เช็ดหน้าเช็ดตาด้วยผ้าเย็นที่ลูกเรือคนสวยเค้าแจกให้ตอนขึ้นเครื่องใหม่ๆ และก็เตรียมเอกสารต่าง ๆ ให้พร้อม ไม่ว่าจะเป็นใบ ตม. , พาสปอต เรียบร้อยแล้วพร้อมที่จะลุย ในใจก็กลัวนะ เพราะว่านี่เป็นการมาฮ่องกงครั้งแรก มาแบบลุย ๆ ตัวคนเดียว ประมาณเที่ยวไม่ง้อทัวร์อ่ะ นั่งพล่ามไปคนเดียวได้ไม่นานนักประตูเครื่องก็เปิดออกครับ โอ้ว....ฮ่องกง....ฉันมาแล้ว....พอลงจากเครื่องสมองผมก็เริ่มจะทำงานหนักอีกครั้งแล้วครับ ในใจคิดว่าเราจะต้องไปทางไหนหว่า? จะหลงหรือทางเปล่า? แต่ก็ไม่เป็นไรครับ เดินตาม ๆ เค้าไปก็คงจะได้ แต่ที่ไหนได้ครับ พอลงจากเครื่อง เดินไปได้ไม่ทันไร ก็มีป้ายบอกทางครับว่าให้เลี้ยวไปทางไหน เดินไปยังไง ใครที่หลงนะก็แย่แล้วครับ ป้ายเยอะมากๆๆๆ.... ไม่หลงแน่นอน คอนเฟิร์ม....!!! เดินมาตามป้ายครับ เดี๋ยวเลี้ยวซ้าย เดี๋ยวเลี้ยวขวา เดี๋ยวขึ้นบันไดเลื่อน เดี๋ยวลงบันไดเลื่อน สุดท้ายป้ายก็นำเรามาถึงสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินที่คอยรับส่งผู้โดยสารภายในอาคารของสนามบิน แอร์เย็นฉ่ำสบายดีครับ ไม่เหนื่อยไม่ต้องเดินไกล ๆ คนก็ไม่เบียดกันมาก ในใจก็นึกไปถ้าบ้านเรามีอย่างนี้ก็ดีเหมือนกันนะ ขึ้นมาได้ไม่นานครับ รถไฟก็นำเรามาถึงตัวอาคารหลักของสนามบินครับ จัดแจงลงรถแล้วเดินไปตามลูกศรชี้ อึดใจเดียวท่านก็จะไปยืนอยู่ตรงหน้าด่านตรวจคนเข้าเมืองอ่ะครับ... |
| พอมาถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง ก็เห็นคนต่อคิวกันไม่น้อย แต่ที่นี่ทำงานกันเร็วครับ แถวเลยลดลงอย่างรวดเร็ว ผ่านมาได้แล้วครับ ไม่ถูกส่งกลับประเทศ เลยรีบออกมาข้างนอกครับเพื่อมารับกระเป๋าจะได้รีบเข้าที่พัก เพราะว่าเริ่มจะง่วงและเหนื่อยกับการเดินทางเต็มทน เดินออกจาก ตม. มานิดเดียวก็จะเป็นเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ของการท่องเที่ยวฮ่องกง มีเอกสารแจกเต็มเลยครับ แวะหยิบมาบ้างดีกว่า เผื่อจะเป็นประโยชน์กับเราบ้าง จากนั้นก็เดินไปรับกระเป๋าครับ แต่ก่อนอื่นมันต้องไปรับที่สายพานไหนเนี่ย? ไม่ยากครับดูป้ายอีกแล้ว มองดูอยู่สักพักพอเห็นว่าต้องไปที่ไหนก็รีบไปรับกระเป๋าแล้วก็ไปยังจุดนัดหมายเลยครับ ของผมให้ไปพบเจ้าหน้าที่ที่เคาน์เตอร์ B13 ครับ ถ้าเป็นเคาน์เตอร์ดังกล่าวให้พวกเราออกที่ประตู B ครับ พอออกมาก็จะเป็นเคาน์เตอร์ดังกล่าวอยู่ตรงหน้าเลย แต่ว่าถ้าใครได้เอกสารที่บอกว่าให้ไปพบที่เสาต้นที่เท่าไหร่ก็ว่าไป ให้เลี้ยวไปทางซ้ายครับ จะเป็นไปเสาพลาสติก ที่ติดหมายเลยเอาไว้ ซึ่งจะมาเจ้าหน้าที่มารอรับเราอยู่ครับ นั่งรอได้สักพักก็ถึงเวลาที่รถออกครับ ก็จะมีเจ้าหน้าที่มารับและพาเราไปส่งขึ้นรถ พอขึ้นรถได้ก็นั่งแบบหมดสภาพเลยครับ เหนื่อยครับ และบนรถก็แสนจะสบายครับที่นั่งนุ่ม ๆ แอร์เย็น ๆ แบะนั่งอันกว้างขวาง นั่งไปได้ไม่นานครับรถก็มาส่งเราที่หน้าโรงแรม ขอตัวลงก่อนนะครับ |
| นี่ไงครับโรงแรมที่ผมต้องพักตลอดการเดินทางและท่องเที่ยวของผม.... พอเข้าไปในโรงแรม โห....เนี่ยเหรอโรงแรมระดับ 3 ดาว..!!! ใช้ได้นะเนี่ย สวยเอาการ ทางเดินไฟสว่าง ไม่แคบไม่ใหญ่พอดี ๆ ไม่มีกลิ่นอับ ไม่มีกลิ่นบุหรี่ พอเค้าไปในห้อง ห้องก็สะอาดมากครับ ถึงแม้จะเล็กไปหน่อย แต่ก็เข้าใจอ่ะว่าฮ่องกงมันพื้นที่จำกัด แอร์เย็นฉ่ำ ห้องไม่อับ ไม่มีกลิ่นบุหรี่ให้ปวดหัว เดินสำรวจไปยังห้องน้ำ ห้องน้ำเค้าก็สะอาดครับ จัดวางทุกอย่างเป็นระเบียบ หยิบจับง่ายต่อการใช้สอย อุปกรณ์ครบครัน เครื่องทำน้ำอุ่น ไดร์เป่าผม ฝักบัวอาบน้ำ โอ้ว.....แค่นี้ก็สุขสบายแล้วครับ ส่วนเตียงนอน ไม่ต้องพูดถึงครับ นุ่มนอนสบายไม่ปวดหลัง ผ้าปูเตียงสีขาวสะอาดตา ปูผ้ากันตึงมากชนิดที่โยนเหรียญบาทไปก็กระเด้งกระดอนกันเลยทีเดียว หมอนก็สะอาดไม่มีกลิ่น เสียอย่างเดียวครับ เตียงนอนมันสั้นไปหน่อย พอล้มตัวลงนอนเท้าเจ้ากรรมมันเลยออกมาทุกทีซิน่า...ดึกแล้วอาบน้ำอาบท่านอนพักผ่อนเอาแรงก่อนดีกว่า พรุ่งนี้เริ่มโปรแกรมการท่องเที่ยววันแรกจะได้มีแรง อ้อลืมบอกไป พอไปถึงโรงแรมเจ้าหน้าที่ของโรงแรมจะบอกว่ามีคนฝากข้อความไว้ถึงท่าน ข้อความนั้นจะบอกท่านว่าในวันพรุ่งนี้รถจะมารับทานตอนกี่โมง พร้อมกับเบอร์โทรติดต่อของไกท์ที่จะพาเราไปด้วยอ่ะครับ ดูแล้วอุ่นใจดีจังว่าเราไม่ถูกทอดทิ้ง งั้นขอตัวนอนก่อนนะครับ |
"การเดินทางวันที่ 2" 13 มีนาคม 2552 ตื่นเช้ามาอากาศแจ่มใสมากครับ อากาศเย็น ๆ สบาย ๆ แต่ทำไมวันนี้หมอกเยอะจัง เลยถามเจ้าหน้าที่โรงแรม เค้าบอกว่าฮ่องกงอากาศเปลี่ยนเร็วมากเนื่องจากเป็นเกาะ และแถมบอกอีกว่าเย็นนี้อากาศจะเย็นกว่านี้แล้วก็จะมีลมแรง ดีนะที่ผมเอาเสื้อกันหนาวตัวบาง ๆ ติดมาด้วย วันนี้ไกท์ที่จะพาเราไปเที่ยวนัดว่าจะมารับผมตอน 08.30 น. ครับ ด้วยความที่ตื่นเช้าเลยมีเวลาออกไปเดินสำรวจบ้านเมืองเค้าในตอนเช้า บ้านเมืองเค้าเป็นระเบียบมากครับ ขนาดคนจะข้ามถนน รถว่างขนาดไหนถ้าไม่มีไฟเขียวให้ข้ามเค้าก็ไม่ข้ามกันนะครับ และรถเมล์ส่วนใหญ่ก็จะเป็นรถ 2 ชั้นครับเห็นแล้วแปลกตาดี พอถึงเวลา 08.30 น. ไกท์ท้องถิ่นก็มารับไปเที่ยวซิตี้ทัวร์ครับ เริ่มต้นด้วยการนมัสการขอพรจาก เจ้าแม่กวนอิม ที่บริเวณชายหาด REPULSE BAY ที่นี่สวยมากครับเป็นชายหาดน้ำตื่นผู้คนไม่เยอะมากสงบมากครับที่นี่ผมได้ข้ามสะพานต่ออายุด้วยครับ ซึ่งเชื่อกันว่าถ้าได้ข้ามหนึ่งครั้งจะมีอายุเพิ่มขึ้น 3ปี ชมความสวยงานได้สักพัก ก็ออกเดินทางต่อไปที่ VICTORIA PEAK ชมครับเพื่อทิวทัศน์ของเกาะฮ่องกง แต่เนื่องจากวันนี้หมอกลงเยอะมากไกท์ของเราบอกว่าถ้าขึ้นไปถึง PEAK รับรองว่ามองอะไรไม่เห็นแน่ เลยหยุดแวะที่จุดชมวิวแทนครับ จึงได้เก็บภาพสวย ๆ ของตึกต่างๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของฮ่องกงมาเป็นที่ระลึกครับ ไปแค่ 2 ที่นี้ก็หมดเวลาไปครึ่งวันแล้ว แต่ถือว่าคุ้มนะครับ ไม่ต้องไปเองมีคนพาไปแถมแต่ละที่ที่พาไปก็สวย ๆ ทั้งนั้น เสร็จจากซิตี้ทัวร์ก็เที่ยงพอดีครับ พี่ไกท์สุดหล่อก็พาเรามาส่งที่ย่านจิมซาจุ่ย ลำลากันเสร็จเรียบร้อยก็แยกย้ายกันไปตามทางของแต่ละคน เที่ยงแล้วท้องก็เริ่มหิว พอดีเห็นร้านบะหมีเนื้อวัว ดูท่าทางน่ากินมาก มีทุกส่วนของเนื้อวัวเลย รสชาติอย่าให้บอก อร่อยจนอยากห่อกลับไปด้วย ตกราคาก็ชามละ 38 HKD ได้ เมื่ออิ่มกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ออกเดินทางต่อกันเลยครับจุดหมายของเราในบ่ายวันนี้อยู่ที่พระใหญ่วัดโป่วหลินครับ วิธีการเดินทางก็ง่ายครับขึ้นรถ MTR ที่สถานี Tsim Sha Tsui แล้วไปลงที่สถานี Tung Chung การขึ้นใต้ดินที่ฮ่องกงก็คล้าย ๆ กับบ้านเรา พอออกจากใต้ดินให้ออกที่ Exit B จะเจอห้าง City Gate Mall ด้านหน้าจะมีน้ำพุเต้นระบำ (เหมือนหน้าห้างพารากอนเลย) ซึ่งเป็นจุดสังเกตุใหญ่ ให้เดินไปทางซ้ายของห้างครับ จะเห็นป้ายชี้ให้ไปขึ้นกระเช้า พอพ้นตัวอาคารก็ให้มองไปทางขวามือครับ จะเห็นเป็นทางขึ้นเป็นบันไดเลือนสูง ๆ เมื่อขึ้นมาด้านบนแล้วก็จะเป็นบริเวณสำหรับที่จำหน่ายบัตรขึ้นกระเช้า ซึ่งราคาก็จะแบ่งออกไปตามวันธรรมดากับวันหยุด ตอนนั้นที่ผมไปตรงกับวันธรรมดาก็เลยถูกหน่อย 96 HKD เมื่อได้ตั๋วแล้วก็มองไปข้างหน้าจะเป็นทางขึ้นกระเช้าครับ งั้นผมขอตัวไปต่อคิดขึ้นกระเช้าก่อนนะครับ |
เอาหล่ะขึ้นกระเช้าได้แล้ว ตื่นเต้นมากครับ ทำไมเหรอ..ก็มันสูงมากครับเล่นทั้งข้ามทะเลข้ามภูเขา กระเช้าคันหนึ่งนั่งได้ประมาณ 10 คน ครับแต่วันที่ผมไปไม่ค่อยมีคนทางเจ้าหน้าที่เลยให้ขึ้นได้คนละ 1-2 คน บนกระเช้าเราสามารถมองวิวทิวทัศน์ได้ 360 เลยครับ และยังเห็นวิวของสนามบินได้จากมุมนี้ด้วย ยังมีอีกวิธีนะ!!!..ถ้าใครไม่อยากขึ้นกระเช้าและชอบการผจญภัย จะมีทางเดินเท้าครับ ใครสร้างไว้ไม่รู้ แต่ที่รู้ ๆ มีคนเดินกันเยอะเหมือนกันนะครับ นั่งมาได้สักพักประมาณ 30 นาทีก็มาถึงแล้วครับ พอเดินออกมาจากสถานีก็จะพบกับหมู่บ้านวัฒนะธรรมก่อนเลยซึ่งจะมีร้านค้ามากมายทั้งของกินของที่ระลึกและจุดถ่ายรูป เดินผ่านหมู่บ้านมาไม่นานก็มาถึงทางที่จะขึ้นไปนมัสการองค์พระ เดินขึ้นบันไดไปทั้งหมดประมาณ 240 ขั้น (อาจจะนับผิดไปบ้างนะครับ เพราะว่าระหว่างที่เดินขึ้นเดินลงไม่ได้ตั้งใจนับเพราะว่ามัวแต่ถ่ายรูปกัน ก็เลยหลง ๆ ลืม ๆ ) พอขึ้นมาถึงด้านบนก็หายเหนื่อยครับ เพราะว่าวิวบนนี้สวยมาก และทั้ง 2 ฝั่งขององค์พระใหญ่ จะมีรูปปั้นเทวดา ผั่งละ 3 องค์ แสดงการถวายความเคารพอยู่ ซึ่งดูแล้วน่าเลือมใสมากครับ ใช้เวลาอยู่ที่นานพอสมความครับ ต้องรีบกลับแล้วเพราะว่ากระเช้าคันสุดท้ายหมดตอน 18.00 น. และอีกอย่าง วันนี้เรามีนัดตอนเย็นที่อเวนิวออฟสตาร์ด้วยครับ |
อ่ะ..ฮ่า..และแล้วคำคืนแห่งสีสรรค์ก็มาถึง เริ่มกันที่ย่านช๊อปปิ้งที่ขึ้นชื่อก่อนดีกว่า ว่า ว่า ว่า ว่า ว่า ว่า ว่า ว่า ว่า “จิม ซา จุ่ย” ชื่อนี้คุ้นหูคนไทยมั้ยครับ ต้องคุ้นแน่ เพราะว่าย่านนี้มีสินค้าขายเพียบทั้งเสื้อผ้าแบรนด์เนมและไม่มีแบรนด์ รองเท้า กระเป๋า ร้านอาหาร ฟิตเนส โอ้ย...เยอะแยะมากครับ ถัดมาใกล้ ๆ กันก็เป็น “โอเชี่ยนเทอร์มิเนอร์” ที่นี่จะเป็นท่าเรือสำราญ เรื่อใหญ่มากๆครับ เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นเนี่ยแหละ และที่นี่ยังเป็นห้างอีกด้วยโดยจะมีร้านขายของเล่นอย่าง Toy R Us อยู่ที่นี่ด้วยอ่ะครับ นอกจากนั้นยังมีร้านค้าแบรนด์เนมชื่อดัง ๆ อีกเยอะ จะว่าไปก็เหมือนๆ กับห้างสยามพารากอนอ่ะครับ ประมาณนั้น และสาเหตุที่ฮ่องกงเป็นสวรรค์ของนักช๊อปนั่นเพราะว่าที่ฮ่องกงเป็นแหล่งปลอดภาษี เค้าจะไม่เก็บภาษีนำเข้าดังนั้นสินค้าต่าง ๆ ที่นี่จึงมีราคาที่ไม่แพงนักเมื่อเปรียบเที่ยบกับบ้านเราและบางรุ่นบางแบบก็ไม่มีเอาเข้ามาขายในบ้านเรา ใกล้ถึงเวลา 20.00 น.แล้วครับการแสดง “Symphony of Lights” ก็จะเริ่มขึ้นแล้วการแสดงนี้ถือว่าสุดยอดครับ สวยงามมากเป็นอีกหนึ่งการแสดงที่ไม่น่าพลาดเลย ถึงแม้จะใช้เวลาในการแสดงแค่ 15 นาทีก็ตามพอการแสดงสิ้นสุดก็แยกย้ายส่วนผมขอตัวไปเดินเล่นที่ถนน “Avenue Of Star” ที่นี่จะมีรอยเท้า+รอยฝ่ามือเหล่าดาราฮ่องกงประทับเอาไว้มากมาย ลองหาดูนะครับ ดูเวลานี่ก็ 3 ทุ่มกว่าแล้ว ท้องเริ่มหิวแล้ว ไปหาอะไรกินก่อนดีกว่าครับ |
สำหรับอาหารค่ำของผมในค่ำคืนนี้ผมเลือกที่จะมาหาอะไรกินที่ย่านไนท์มาร์เก็ต ที่นั่นนอกจากของกินจะเยอะแล้ว ยังเป็นแหล่งช๊อปปิ้งในยามค่ำคืนของคนนอนดึกอีกด้วย สินค้าที่นี่จะมีให้เลือกหลากหลายมากไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับโดยจะแบ่งออกเป็น 3 โซนใหญ่ ๆ คือ เลดี้มารเก็ท ซี่งจะเป็นสินค้าเกี่ยวกับเสื้อผ้า,กระเป๋า,เครื่องประดับ,ของที่ระลึก ต่างๆ มากมายโดยจะเน้นหนักไปทางของใช้ผู้หญิง อีกโซนคืน สปอร์ทสตรีท เป็นถนนที่ขายเกี่ยวกับอุปกรณ์ กีฬาทั้งเส้นเลย ไม่ว่าจะเป็นรองเท้า เสื้อผ้า กระเป๋า หมวก และโซนสุดท้ายก็จะเป็น เครื่องใช้ไฟฟ้า ก็จะมีเครื่องใช้ไฟฟ้ามากมายให้เลือกจับจ่าย ทีนี้เรามาว่าเรื่องของกินกันดีกว่าครับ ที่ตลาดไนท์มาร์เก็ทนี้ก็จะมีพวกลูกชิ้นทอด หลายร้านอยู่เหมือนกันครับ แล้วแต่ว่าท่านจะเลือกร้านไหนรับรองรถชาติไม่คุ้นลิ้นคนไทยอย่างแน่นอน อย่างน้อยก็น้ำจิ้มหล่ะครับ ออร์เดิฟ ผ่านไปแล้วต่อไปก็มามื้อใหญ่แล้วหล่ะครับ ที่นี้เริ่มมองหาร้านข้าวที่มีโต๊ะนั่งแหละ ร้านแถวนี้ดีนะครับ มีรูปมีราคาโชว์อยู่หน้าร้าน ทำให้เราตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าจะทานอะไร ภายในร้านก็ตกแต่แบบง่าย ๆ น่านั่งครับ อาหารราคาก็ไม่แพงครับ ประมาณ 19-20 HKD ส่วนน้ำที่นี่ก็จะนิยมกินเป็นชานมครับ ไม่ว่าจะร้อนหรือเย็น ก็ 10 HKD เหมือนกัน งั้นขอตัวหม่ำ ๆ ก่อนนะครับ ไว้เจอกันใหม่พรุ่งนี้เช้าครับ แล้วผมจะพาไปเที่ยวมาเก๊ากันครับ | |
"การเดินทางวันที่ 3" 14 มีนาคม 2552 ตื่นมาแต่เช้าครับวันนี้ อากาศแจ่มใสมากครับ วันนี้เราต้องตื่นแต่เช้ากันหน่อยครับเพราะว่าจะต้องออกไปฝั่งมาเก๊าด้วย แต่ว่าก่อนไปมาเก๊าเราจะแวะไปไหว้พระกันก่อน ที่วัดหวังต้าเซียน โดยนังรถ MTR ไปลงสถานี Wong Tai Sin และออกที่ทางออก B3 ออกมาทางนี้จะเจอห้างให้เลี้ยวขวาก็จะเจอทางเข้าวัด ว่ากันว่าใครที่ได้มาขอพรที่เกี่ยวกับสุขภาพที่วัดนี้ จะสมหวังกันทุกรายไป ยังไม่หมดครับจากนั้นก็ไปต่อกันที่วัดนางชี ว่ากันว่าที่วัดนี้ตรงข้ามมีสวนสาธารณะที่สวยงามมาก และที่นี่ก็อยู่ห่างจากวัดหวังต้าเซียนไปแค่สถานนีเดียวเอง นั่ง MTR จากสถานี Wong Tai Sin แล้วไปลงที่สถานี Diamond Hill และออกที่ทางออก C2 พอออกมาก็จะเจอห้าง Plaza Hollywood ให้เลี้ยวขวา แล้วให้เดินไปตามป้ายบอกทาง สำหรับสวนของวัดนางชีเป็นการตกแต่งสวนที่สวยมาก โดยใช้ศิลป์ตกแต่งแบบญี่ปุ่มผสมผสานกับสไตล์การจัดสวนแบบจีน และสำหรับวัดนางชีที่อยู่ตรงข้ามนั้นก็มีความสวยงามไม่แพ้กันเลยครับ ตั้งเด่นเป็นสง่า สายแล้วครับ เราต้องรีบทำเวลาเพราะว่านี่จะเก้าโมงแล้วเดี๋ยวสายเดี๋ยวขึ้นเรือเที่ยว 10.00 ไม่ทัน ว่าแล้วก็รีบเดินกลับไปขึ้น รถ MTR ไปลงรถที่สถานี Tsim Sha Tsui ครับ แล้วก็ออกประตู A1 เดินผ่านด้านหลังสวน นิดหนึ่ง เดินผ่านด้านหลังสวนมาหน่อยนึงก็มาถึงถนนใหญ่ครับ ให้เราไปที่ท่าเรือ Chaina Ferry Terminal เพื่อขึ้นเรือของบริษัท First Ferry ท่าเรื่อนี้ก็หาไม่ยากครับให้เข้ามาที่ห้าง Chaina Hong Kong City แล้วขึ้นมาที่ชั้น 1 เราก็จะเจอกับห้องจำหน่ายตั๋วครับ ซึ่งก็จะมีให้ซื้อตั๋วตรงกับเจ้าของบริษัทเอง หรือว่าจะซื้อกับตัวแทนจำหน่ายก็ได้ครับ เพราะว่าราคาก็เท่ากันครับ อันที่จริงบริษัทเรือที่ไปมาเก๊ามีด้วยกัน 2 บริษัทครับ แต่ว่าเช้านี้เราจะลองไปบริษัทนี้ก่อนครับ แล้วขากลับเราค่อยกลับอีกบริษัทหนึ่ง ราคาก็ไม่ได้ต่างอะไรกันมากครับ เมื่อซื้อตั๋วได้แล้ว ก็ไปเช็คอินครับ ตกลงไปทันรอบ 10.30 น.ผ่านเช็คอินแล้วก็ไปด่าน ตม.ขาออกของฮ่องกงครับ แล้วก็เข้ามารอใน Gate ซึ่งตอนเช็คอินนั้น เค้าก็ได้ระบุที่นั่งให้เราแล้ว และใน Gate นะครับ ก็มีร้านค้าปลอดภาษีให้เราได้เลือกซื้อของด้วย ส่วนใหญ่จะเป็นเหล้าและบุหรี่อ่ะครับ ก็เลยไม่ค่อยน่าสนใจ นั่งรอได้ไม่นานครับก็ได้เวลาเรียกขึ้นเรือ ก็เดินไปเข้าแถวครับ บรรยากาศภายในเรือก็ดีนะครับ สะอาดสะอ้าน เก้าอี้ก็บุด้วยหนังนั่งได้สบายมาก แอร์ก็เย็น ๆ แถมยังมีพนักงานคอยต้อนรับและเป็นกันเอง บริการสุภาพด้วยครับ.... | |
และแล้วก็มาถึงครับ พอลงเรือผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองได้เรียบร้อยแล้วก็ออกมาสู่โลกภายนอกครับ ออกมานอกท่าเรือ ก็ต้องตกใจกับบรรดารถโค๊ชของคาสิโนหลากยี่ห้อครับ ที่มาจอดรอรับนักท่องเที่ยวกันมากมาย อากาศที่นี่เย็นสบายดีครับ อุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 20-25 ครับมีลมอ่อน ๆ และก็มีแดดด้วย ได้การหล่ะ ผมเลยกระโดดขึ้นรถคันสีแดงสดใสของ Wynn Macao ครับ เพราะรู้มาว่า ถ้าขึ้นรถไปลงที่นี่เราสามารถต่อไปที่อื่นได้ง่ายขึ้น แล้วก็ประหยัดตังค์ไปได้เยอะด้วยครับ และแล้วรถก็มาจอดหน้าโรงแรมครับ มองไปโดยรอบโอ้ว...เป็นอย่างที่ว่าจริง ๆ ด้วย ทางขาวมือของโรงแรมเป็นโรงแรมแกรนด์ริชบัว ขวามือเป็นมาเก๊าทาวน์เวอร์ และก็ถัดจากโรงแรมแกรนด์ริชบัวไปหน่อยก็เป็นเซ็นนาโดว์สแควร์ และด้านหลัง Wynn ก็เป็นรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมครับ ถือว่าทั้งหมดเดินเท้าถึงกันได้หมดเลยครับ และที่ Wynn ก็จะมีการแสดงน้ำพุเต้นระบำทุก ๆ 15 นาที ครับ สวยมาก ประกอบกับเสียงดนตรี มีคนดูมากมายเลยครับ บรรยากาศโดยรอบก็สวยครับ เป็นสวนสวย มีต้นไม้และไม้ประดับสวยมาก |
ที่เซนนาโดว์สแควร์ผู้คนเยอะมากครับ คงเป็นเพราะว่าวันที่ไปเป็นวันเสาร์อ่ะครับ เลยมีคนมาเยี่ยมชมเยอะ แต่ที่แน่ ๆ คนไทยที่มาเที่ยวเยอะมาก เดินไปไม่เท่าไหร่ก็เจอคนไทย แต่ว่าคนมาเก๊าเองเค้าพูดภาษาอังกฤษไม่แข็งแรงนะครับ และถ้าเราออกสำเนียงไม่ถูกก็จะทำหน้า งง ใส่เราเสียอีกต่างหาก ที่นี่นะครับ เราสามารถใช้เงิน ฮ่องกงได้ครับ แต่ต้องระวังให้ดีนะครับ เค้าจะทอนเรามาเป็นเงินมาเก๊าครับ และเวลาเราเอาไปแลกคืน เราเองที่จะต้องขาดทุนอ่ะครับ ขาดทุนไปประมาณ .2 อ่ะครับครับ ถ้ามาถึงที่นี่นะครับ ไม่อยากให้ทุกคนพลาดกับการได้ลิ้มรถทาร์ตไข่ครับ อร่อยมากครับ ยิ่งร้อน ๆ นะครับ อร่อยอย่าบอกใคร ตกราคาแล้วก็ชิ้นและ 5 HKD อ่ะครับ แถมมีร้านขายให้เลือกหลายร้านด้วย นอกจากทาร์ตไข่แล้วก็จะมีประเภท หมูแผ่น ถั่วตัด ขนมตุ๊บตั๊บอ่ะครับ |
เมื่อเสร็จจากเซ่นนาโดว์สแควร์แล้วก็ขึ้น TAXI มาที่วัดอาม่าครับ ยังไงต้องมาที่วัดนี้ให้ได้ครับ เพราะถือว่าวัดนี้เป็นวัดประจำมาเก๊า ที่ใคร ๆ มาแล้วก็ว่าไหว้อาม่าที่วัดนี้ ก็เหมือนเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของมาเก๊ากันเลยครับ เยี่ยมชมกันได้สักพักก็ต้องขึ้น TAXI กลับไปที่ท่าเรืออ่ะครับ เพราะอะไรเหรอครับ เรามีนัดไปต่อกันที่เวเนเชียนไงครับ | |
พอมาถึงที่ท่าเรือก็เดินมาขึ้นรถฟรีกันอีกแล้ว เพราะว่าทางเวเนเชียนก็ใจดีครับ มีรถโค๊ชปรับอากาศคันใหญ่ ๆ มารับเราให้เข้าไปเยียมชม กันแบบไม่เสียตังค์ พอมาถึงที่เวเนเชียน ถือว่าคุ้มครับ เพราะว่าถ้ามาถึงมาเก๊า หัวเด็ด อะไรขาดยังไง ก็ต้องมาที่นี่ให้ได้ครับ ทั้งยิ่งใหญ่ ทั้งสวยงาม พูดไม่ถูกครับ ต้องมาได้สัมพัสด้วยตัวเองครับ แต่ยังไงเราก็ต้องทำเวลาครับ เพราะว่าเรือที่เราจะกลับเที่ยวสุดท้ายหมดตอน 18.30 น. ครับ จึงไม่ค่อยได้พูดอะไรมากครับ เดิน ๆ ถ่าย ๆ รูป กันอย่างเดียว เก็บเกี่ยวให้ได้มากที่สุด เสร็จแล้วก็มาขึ้นรถโค๊ชกลับที่ไปท่าเรือครับ |
เมื่อมาถึงที่ท่าเรือก็ขึ้นมาที่ชั้น 2 ครับมาซื้อตั๋วของบริษัท Turbo Jet ครับ มีแต่คนบอกว่าเรือบริษัทนี้ดีนักดีหนา ก็เลยอยากลองขึ้นดูครับ เมื่อซื้อตั๋วเช็คอินแล้วก็ผ่านด่านอะไรได้เรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาขึ้นเรือครับ เนื่องจากเราไปใกล้เวลาเรือออก เราเลยไม่ต้องรอนาน พอขึ้นไปนั่งบนเรือ ลักษณ์ก็คล้าย ๆ เรือที่เมื่อเช้ามาเลยครับ แต่เวลาที่นั่งนั้น ใช้เวลาสั้นกว่าเมื่อเช้าประมาณ 15 นาที่ เพราะว่าเมื่อเช้าเรามา เราใช้เวลาไป 45 นาที แต่ขากลับ เราใช้เวลาไป 30 นาทีเองครับ ก็ถือว่าเร็วกว่า แต่ถ้าถามว่าเรือและบริการดีไหม ก็เหมือน ๆ กันนะครับ และเมื่อมาถึงที่ฮ่องกง เรือก็จะมาจอดที่ห้าง Shun Tak Center ครับ แต่กว่าจะออกจากด่านที่นี่ได้ก็เล่นเอาจะอ้วกเหมือนกัน เพราะว่าต้องขึ้นไปชั้น 4 ก่อนแล้วค่อยลงมาใต้ดิน และกว่าจะเดินไปถึง MTR ก็เล่นเอามึนเหมือนกันครับ ประกอบกับดึกแล้วด้วยครับ หิวก็หิว เมาเรือก็นิดหน่อย เดินเนี่ยเรียกว่าขาจะพันกันเลยทีเดียว และเมื่อมาถึงที่ฮ่องกง เรือก็จะมาจอดที่ห้าง Shun Tak Center ครับ แต่กว่าจะออกจากด่านที่นี่ได้ก็เล่นเอาจะอ้วกเหมือนกัน เพราะว่าต้องขึ้นไปชั้น 4 ก่อนแล้วค่อยลงมาใต้ดิน และกว่าจะเดินไปถึง MTR ก็เล่นเอามึนเหมือนกันครับ ประกอบกับดึกแล้วด้วยครับ หิวก็หิว เมาเรือก็นิดหน่อย เดินเนี่ยเรียกว่าขาจะพันกันเลยทีเดียว |
หาอะไรเติมลงท้องได้แล้วก็เริ่มแล้วครับ ตะลุยราตรีอีกรอบ เป็นรอบเก็บตกครับ ก็เลยเอาวิถีชีวิตของคนฮ่องกงมาฝากครับ เกี่ยวกับการขึ้นรถเมล์ของคนที่นี่ครับ ที่นี่นะครับ การขึ้นรถเมล์ รถจะจอดตรงป้ายของเค้าเท่านั้น ป้ายไหนก็ป้ายนั้น ไม่มีการจอดผิดป้าย อย่างเช่น ถ้าเราจะไปสาย A21 เราก็ต้องไปยืนตรงป้ายที่เขียนว่า A21 และถ้ารถเมล์มาเห็นมามีคนรอที่ป้าย รถก็จะเข้ามาจอด แต่ถ้าเรายืนผิดป้าย ต่อให้เราโปกให้ตาย เค้าก็ไม่จอดให้ครับ และถ้าเรามองขึ้นไปบนตึกระหว่างทางที่เราเดินผ่านย่านนาธานนะครับ เราก็จะเป็นบ้านเรือนของผู้คนฮ่องกงเค้าครับ จะตากผ้าตากผ่อนกัน เห็นแล้วก็แปลกตาดี เพราะว่าถ้าเราไม่สังเกต มัวแต่มองมุมธรรมดา เราก็จะเห็นแต่สิ่งส่วยงามครับ อิอิอิ เดินไปหน่อยครับ ตรงถนน Temple St เราก็จะพบกับดงหมอดูครับ ตั้งกันเป็นเต็นท์เลยครับ เป็นถนนทั้งสายเลยครับเห็นแล้วก็แปลกตา ไปอีกแบบ ได้ครั้นเราจะเข้าไปนั่งดูก็กระไรอยู่ เพราะไม่รู้เค้าจะดูให้เราเป็นภาษาอะไร อิอิอิ เลยเดินผ่าน และก็ได้แค่ถ่ายรูปดีกว่า ชักเริ่มง่วงแล้วครับ เหนี่อยด้วย พรุ่งนี้กลับแล้ว งั้นเอาเป็นว่า ผมคุ้มกับการมาเที่ยวฮ่องกงครั้งนี้แล้วครับ ผมขอตัวกลับไปนอนก่อนดีกว่า..... |
รุ่งเช้าครับ รถนัดเรามารับตอน ตี 4 เพราะว่าเครื่องออกตอน 08.00 น. ก็เลยต้องตื่นกันเช้าหน่อยพอรถมารับครับ ก็เห็นคนอื่น ๆ นั่งมาด้วยแสดงว่าไปรับมาจากที่อื่นแล้วเหมือนกัน แต่ละคนหลับกันสนิทเลยครับ และแล้วรถก็มาส่งเราที่สนามบินครับ ได้กลับบ้านแล้วครับงานนี้ ผมไม่พูดอะไรอ่ะครับ ไปดูบอร์ดก่อนเลยครับว่าเค้าเปิดเช็คอินที่เคาน์เตอร์ไหน พอรู้แล้วว่าเป็นโลว G ก็รีบไปเลยครับ และเมื่อเช็คอินเสร็จแล้วก็เข้า Gate เลยครับ ไปเตรียมตัวอยู่ในนั่นดีกว่าครับ จะได้ไม่ตกเครื่อง ก็เช่นเดิมครับ นั่นรถไฟไปที่ Gate ครับ คงเป็นเพราะว่าตอนเช้าด้วยอ่ะครับ คนก็เลยยังน้อย ๆ อยู่ พอมาถึงก็เห็นแล้วครับ เครื่องมาจอดรอเราอยู่ ได้กลับบ้านแล้วครับ ดีใจจัง |
พอได้ขึ้นเครื่อง ก็ได้พบกับลูกเรือคนไทยที่เราคุ้นเคย นั่งไปได้สักพัก ก็เริ่มแล้วครับ บริการอาหารและเครื่องดื่ม ตามสไตล์ของ โอเรียนท์ไทยแอร์ไลน์ ส่วนขากลับนี้มือเช้าก็จะเป็นอาหารเบา ๆ ครับ เป็นแซนวิชทูน่า และก็สลัดผัก อร่อยดีครับ แล้วก็น้ำส้ม กาแฟร้อน ถือว่าทำให้อยู่ท้องไปได้หน่อย เมื่อทานเสร็จแล้ว ก็เริ่มลงมือนอนแล้วครับ มาตื่นอีกทีก็ถึงไทยแล้วอ่ะครับ ลงเครื่องผ่านด่านต.ม. ก็รับกระเป๋า อย่างที่เคย ๆ แล้วก็ออกมาด้านนอกครับ กลับบ้านไปนอนหลับเป็นตาย ตื่นมาอีกทีก็เย็นกันเลยทีเดียว อิอิอิ สรุปนะครับ การไปเที่ยวแบบไม่ง้อทัวร์ในคราวนี้ขอผม ถือว่าได้เป็นการเปิดโลกอันแคบของผม ให้กว้างขึ้น ได้เรียนรู้อะไรต่อมิอะไรด้วยตัวเอง และทำให้เราได้รู้ว่าเพื่อนบ้านยังมีอะไรอีกเยอะให้เราได้ศึกษา ถ้ามีโอกาสผมก็อยากจะหาที่อื่นไปอีก อย่างน้อยเราก็นำความรู้ที่ได้มาจากการเที่ยวครั้งนี้มาใช้ประโยชน์กับกับทำงานของเราได้อ่ะครับ |
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น